ORPHISM AND COLOR THEORY
- fuangfaa rakrong
- Dec 10, 2020
- 1 min read
Updated: Dec 18, 2020
Orphism เป็นการเคลื่อนไหวทางศิลปะซึ่งตั้งชื่อจาก Orpheus ตัวละครในเทพปกรณัมกรีกที่มีความสามารถในการหลอกสัมผัสต่างๆด้วยเพลงและบทกวีของเขา สำหรับ Orphism นั้นจะเน้นประเด็นอย่างแสงที่ตกกระทบรูปทรง และจังหวะภาพที่สื่อความรู้สึกและแนวคิดให้กับผู้รับชม
Orphism ที่บางทีก็ถูกเรียกว่า Simultaneism นั้นก่อตั้งโดย Robert Delaunay ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับอีกสไตล์หนึ่งอย่าง Cubism โดย Orphismได้รับความนิยมอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปในช่วงทศวรรศแรกของศต.ที่20 แม้จะยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปีค.ศ. 1912 นักกวี Guillaume Appollinaire แฟนตัวยงของ Delaunay ได้ออกมาตั้งชื่อให้ แต่ท้ายที่สุดศิลปะประเภทนี้ก็ไม่ได้อยู่ค้างฟ้า มันกลับค่อยๆเสื่อมความนิยมลงไปในปี1914 ปีที่สงครมโลกครั้งที่2 ได้เริ่มขึ้น
สไตล์ Orphism เป็นสไตล์ภาพแบบนามธรรมที่นิยมรูปทรงเรขาคณิต สามารถจำแนกออกได้โดยง่ายด้วยการใช้สีที่สดใสและแสงถ้าเทียบกับCubismที่ใช้สีโทนเดียวสำหรับการลงเงา สไตล์นี้ตั้งใจที่จะให้ความรู้สึกเหมือนดนตรีแก่ผู้รับชมด้วยการสื่อจังหวะและการเคลื่อนไหว ผลงานในสไตล์นี้มักจะใช้สิ่งของในชีวิตประจำวันในภาพวาด ทำให้ผลงานเข้าถึงผู้ชมได้หลายประเภทกว่ามาก
ในแง่ของพัฒนาการของภาพวาดที่ปราศจากเนื้อหา(Non Figurative) Ophism นั้นโดยทั่วไปถือว่าเป็นอีกแขนงย่อยของบาศกนิยมแบบวิเคราะห์ (analytical cubism) การพัฒนาการของงานปิกัซโซ่นั้นอยู่ในช่วงการวิเคาะห์ของcubism ซึ่งมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน ในระยะแรกผู้คนนั้นใช้ชิ้นส่วนของเรขาคณิต เป็นที่รู้จักในภาพปะติด ก่อนจะมาเป็น cubism
ในภายหลัง Orphism คือ abstract art นำเสนอเทรนด์โดย Robert Delaunay ซึ่งต่อยอดมาจาก cubism แต่ให้ความสำคัญในเรื่องแสงและสี และบัญญัติคำว่า orphism กับงานประเภทนี้ในปี1912 โดยนักกวีชาวฝรั่งเศส Guillaume Apollinaire. ศิลปินและนักเขียน Symbolist ได้เห็นเปรียบเทียบระหว่างเฉดสีและโทนดนตรีมากขึ้น Kandinsky ได้ริเริ่มการนำดนตรีผนวกเข้ากับศิลปะของเขา
จิตกรชาวฝรั่งเศส Orphist นั้นให้ความสนใจกับรูปทรงเรขาคณิตเหมือน Cubism แต่ก็ไม่ได้เป็น Cubists ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของสี งาน Orphism จึงให้ความสำคัญในเรื่องสีที่ contrast เป็นพิเศษ รองลงมาคือรูปทรงที่ได้เป็นเรขาคณิต(Cube) โดยไอเดียมาจากการที่เขาเชื่อว่าศิลปะนั้นสามารถเพิ่มสุนทรียศาสตร์ได้ด้วยสีและดนตรีมากที่สุดจึงให้ความสำคัญกับสีเป็นพิเศษ
Robert Delaunay
จิตกรชาวฝรั่งเศสผู้มีอิทธิพลและขับเคลื่อนศิลปะ Orphism มากที่สุด ซึ่งมีชื่อเสียงในช่วงต้นศตวรรษที๋20 งานของเขาค่อยๆพัฒนาจากศิลปะ Neo-Impressionist ไปสู่รูปแบบนามธรรม นำเสนอภาพ non-figurative(ปราศจากรูปร่าง/ไร้รูปลักษณ์) ให้ความสำคัญกับสีสัน และและรูปทรงนั้นสามารถเล่นกับแสงได้
เขาเชื่อว่าสีนั้นมีจุดเด่นและสามารถสื่อด้วยตัวมันเองจากการภาพวาด เขาเขียนผลงานเป็นจำนวนมากในหัวข้อนี้ โดยผลงานที่มีชื่อที่สุดคือ “Note on the Construction of Reality in Pure Painting(1912)” โดยผลงานของเขาจะมีการอ้างอิงวิทยาศาสตร์ในด้านทฤษฎีเสมอ ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้คนนั้นต้องการเหตุและผลในการทำความเข้าใจได้อย่างถูกต้อง
Delaunay ได้เข้าร่วมกลุ่มจิตกรที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก cubism แต่เธอก็ได้ฝ่าฝืนกฏหลังจากที่โรเบิร์ตได้ยอมรับในงานประเภท cubist ไม่นานหลังจากที่โรเบิร์ตได้ก่อตั้งกลุ่มผู้มีฝีมือทางด้านศิลปะด้วยสีและรูปทรงเรขาคณิต จนกระทั่งกลายเป็น Orphism
Sonia Delaunay
เธอแต่งงานกับโรเบิร์ตในปี 1910 โดยเดิมเป็นจิตกรที่ทำงานกับ Fauvism เป็นหลัก ซึ่งลักษณะงานนั้นจะมีรูปแบบที่ไม่เกลี่ยสีเพื่อให้งานมีสีออกมาชัดและน่าดึงดูดต่อสายตาผู้ชม
มีแหล่งที่มาหลายแห่งที่ได้ระบุว่าโซเนียนั้นได้มอบบันดาลใจให้สามีของเธอด้วยงานเย็บปะผ้าหลากสีด้วยผ้าชิ้นเล็กๆน้อยๆด้วยสีที่แปลกใหม่ซึ่งเป็นที่มาของรูปทรงที่เป็นฟอร์มในงาน Orphism
โซเนียได้พยายามสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดที่น่าสนใจคือเธอได้ดำเนินต่อไปในฐานะศิลปิน โดยออกแบบลวดลายผ้าหลากสีมาใช้และสร้างเป็นแฟชั่นในงานศิลปะของเธอ นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่พิพิธภัณฑ์ Louvre ได้เก็บผลงานลงใน retrospective gallery อีกด้วย
Wassily Wassilyevich Kandinsky

จิตกรและนักทฤษฎีชาวรัสเซีย ตัวเขานั้นเป้นที่รู้จักและได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกศิลปะนามธรรม(abstract art) เดิมเขานั้นเกิดที่มอสโก และจบการศึกษาคสาขาวิชานิติเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมอสโก
เดิม Orphism นำเสนองานศิลปะ non-objective (ศิลปะที่ไร้วัตถุความเป็นจริง) แก่ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศส ในช่วงแรกพยายามให้ออกมาในรูปแบบนามธรรม ซึ่งมีทั้งแนวคิดทฤษฎีสมัยใหม่และสีในการผลิตงานเพื่อให้เป็นงานที่ผู้ชมเข้าถึงและคล้อยตามรูปทรงที่เป็นจังหวะ
สิ่งสำคัญอันที่สองที่มีอิทธิพลต่อศิลปะ Non Figurative คืองานของ Kandinsky ซึ่งเป็นอิทธิพลให้กับงาน cubist ของปีกัซโซและบรัก เขาได้ประสบความสำเร็จในด้านศิลปะที่มิวนิค พัฒนาสีและเส้นของ Non Figurative ให้แตกแยกออกไปจากธรรมชาติเกิดอีกแบบให้ความรู้สึกมีพลังมากขึ้น Kandinsky ได้แบ่งแยกออกจาก cubism ที่มีวัตถุรูปทรงอย่างชัดเจน งานศิลปะของเขาแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกด้วยฟอร์มและสีซึ่งสอดคล้องไปกับความรู้สึก
https://www.theartstory.org/movement/orphism/
Comments